วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju

รับสมัครตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju ทั่วประเทศ โทร.087-008-5029 พิตตินันท์ Line ID: pittinan9 จัดส่งทางไปรษณีย์ EMS ทั่วประเทศ

ราคา กระปุกล่ะ 390 บาท
คารุคงจู Galu gong ju มาส์กเจ้าหญิง ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว ช่วยให้ผิวหน้านุ่มชุ่มชื่น ผิวกระจ่างใส ไร้สิว มีเนื้อครีมบางเบา ดูดซึมเร็ว ไม่เหนอะหนะ ไม่มีสารปรอท กลูต้า พาราเบน สเตรียรอยด์ ไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ ที่ขัดผิวให้ขาวจนหน้าบางอย่างเร่งด่วน
มาส์กเจ้าหญิง คารุคงจู Galu gong ju สรรพคุณดังนี้
-ผิวเรียบเนียน
-กระชับรูขุมขน
-ชะลอริ้วรอยก่อนวัย
-ลดอาการอักเสบของผิว
-ฟื้นฟูผิวจากสภาวะต่างๆ
-เติมความนุ่มชุ่มชื้นให้ผิว
-ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
-ลดรอยแดง จุดด่างดำ รอยแผลจากสิว 
-ฟื้นฟูผิวแพ้สเตรียรอยด์ให้แข็งแรงขึ้น

มาส์กเจ้าหญิง คารุคงจู Galu gong ju ส่วนประกอบที่สำคัญ 14ชนิด

อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติจากทวีปยุโรป และเอเชียกว่า 14 ชนิด ช่วยให้ผิวแข็งแรง เติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดอาการอักเสบของผิวและสิว ลดเรือนริ้วรอย รอยดำรอยแดงจากสิว กระชับรูขุมขน จบทุกปัญหาผิว ปกป้องผิว ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส
1.ALLUM CEPA (ONION) BULB EXTRACT
(สารสกัดจากหอมแดง) ลดสิว ลดการอักเสบของสิว รอยแดง รอยแผลจากสิว เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

2.TOCOPHERYL ACETATE
(วิตามิน E) ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดริ้วรอย เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

3.สารสกัดจากนมแพะ
(GOAT MILK EXTRACT) กรดอะมิโนที่มีประโยชน์สามารถดูดซึมได้ง่าย ให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

4.HYDROLYZED RICE BRAN PROTEIN
(น้ำมันรำข้าว) ผิวนุ่มชุ่มชื่น ช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย การตุ้นการเกิดคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติน เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

5.MENTHA PIPERITA (PEPPERMINT)
สารสกัดจากใบเป็ปเปอร์มิ้นท์ ประกอปไปด้วยแร่ธาตุ, สารอาหารสำหรับผิว โฟเลต แม็กนีเซียม วิตามิน เอ วิตามิน ซี และ โอเมก้า 3 ซึ่งทุกตัวเป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณ และยังช่วยลดอาการสิวอักเสบ และลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

6.สารสกัดจากสาหร่ายวากาเมกะ 
(WAKAME EXTRCT) เพิ่มความชุ่มซื่นให้กับผิว เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

7.ทรานซามิน
(TRANEXAMIC ACID) สารWhitening ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

8.Niacinamide
(วิตามิน B3) ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

9.MALVA SYLVESTRIS (MALLOW) EXTRACT
เป็นสารสกัด จากใบและดอกของมาลโลว์ ซึ่งเป็นพืชที่มาจากแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยน และแอฟริกาตอนบน มีประสิทธิภาพสูงในการลดการอักเสบของผิวหนัง อีกทั้งยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น และหยืดหยุ่น และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

10.PRIMULA VERIS EXTRACT
สารสกัด จาก Primula Veris เป็นพืชที่ขึ้นอยู่แถบยุโรปตอนกลาง และแถบเทือกเขาแอลป์ มีอีกชื่อว่า Cowslip มีคุณสมบัติลดอาการอักเสบ ป้องกันอาการแพ้ ลดริ้วรอย และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

11.Melissa Officinalis Leaf Extract
เป็นพืชตระกูลมิ้นท์ ที่ขึ้นอยู่แถบยุโรปตอนใต้ และ แถบเมดิเตอร์เรเนียน มีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบและต้านอาการแพ้ ปลอบประโลมผิว ยับยั้งแบคทรีเรีย ทำให้ช่วยลดสิว และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

12.Veronica Officinalis Extract
สารสกัด จากสปีดเวลล์ Veronica Officinalis (SpeedWell) เป็นพืชที่ขึ้นอยู่แถบยุโรป แถบเทือกเขาแอลป์ และตะวันตกของเอเชีย ช่วยสมานผิว ลดการระคายเคือง ลดรอยแดง ช่วยให้ผิวแข็งแรง และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

13.Achillea Millefolium Extract
Achillea Millefolium Extract (Yarrow) เป็นพืชที่ขึ้นอยู่แถบยุโรปตอนใต้ และ แถบเมดิเตอร์เรเนียน มีคุณสมบัติช่วยลดอาการระคายเคืองผิวและต้านอาการแพ้ ปลอบประโลมผิว ยับยั้งแบคทรีเรีย ทำให้ช่วยลดสิว และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอปไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

14.Alchemilla Vulgaris Extract
Alchemilla vulgaris เป็นพืชที่ขึ้นอยู่แถบยุโรป และแถบเทือกเขาแอลป์ มี Tannin สูง ช่วยให้ผิวกระชับ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง และปรับความสมดุลความชุ่มชื้นของผิว และยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เป็นสารองค์ประกอบหนึ่งใน คารุคงจู Galu gong ju ซึ่งประกอบไปด้วยสารสกัดจากสมุนไพร 14ชนิด

รีวิว คารุคงจู Galu gong ju จากผู้ใช้จริง
รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
 รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju
รับตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju

ขนาด 30 กรัม
เลขจดแจ้งทะเบียน อย. 10-1-5920628
ราคา กระปุกล่ะ 390 บาท

วิธีใช้
พอกครีมคารุคงจู Galu gong ju มาส์กที่ใบหน้าหนาๆให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาและปาก ควรใช้สัปดาห์ล่ะ 2-3 ครั้ง


ติดต่อสั่งซื้อ หรือสมัครตัวแทนขาย ได้ที่


คุณพิตตินันท์ มีวันเนือง
โทร.087-008-5029
Line ID: pittinan9
อีเมลล์: pittinant@hotmail.com

รับสมัครตัวแทนขาย คารุคงจู Galu gong ju ทั่วประเทศ โทร.087-008-5029 พิตตินันท์ Line ID: pittinan9 จัดส่งทางไปรษณีย์ EMS ทั่วประเทศ


วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วิธีปลูกพลูเขียวเชิงพาณิชย์ฉบับรวบยอด

วิธีปลูกพลูเขียวเชิงพาณิชย์ฉบับรวบยอด ส่งตลาดในและต่างประเทศ ปลูกครั้งเดียว เก็บได้นานถึง 10 ปีครับ

วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พริกไทยอ่อนพืชเศรษฐกิจที่ราคาไม่เคยตกต่ำมานับสิบๆ ปี

พริกไทยอ่อนอาหารที่อยู่คู่ครัวไทยมานานแสนนาน ที่ พริกไทย อ่อนเป็นพืชที่มีราคาสูงก็เนื่องมาจากมันเป็นอาหารที่มีความต้องการในการบริโภคสูงมาก อีกทั้งการปลูกพริกไทยอ่อนอาจจะดูเป็นพืชนอกสายตาจึงทำให้มีผู้เพาะปลูกน้อย เพราะแหล่งใหญ่ที่มีการปลูกพริกไทยกันมากนั่นก็คือทางภาคตะวันออกโดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรี แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะปลูกเป็นพวกพริกไทยแห้ง ส่วนพริกไทยอ่อนก็มักจะปลูกในกลุ่มผู้ปลูกเดิมๆ ไม่ค่อยมีการขยายพื้นที่ในการปลูกเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่ความต้องการในตลาดไม่เคยลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด นั่นจึงเป็นสาเหตุให้มันน่าที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่านำไปเพาะปลูกเพื่อทำกำไรนั่นเอง ปลูกพริกไทยอ่อน นอกฤดู อาชีพทำเงิน น่าสนใจ
ปลูกพริกไทยอ่อน อีกอาชีพเกษตรทำเงิน..น่าสนใจมาก เพราะพริกไทยอ่อน..มีความต้องการอย่างมากในตลาด เริ่มต้นลงทุนน้อย ใช้แรงงานน้อย สามารถเริ่มต้นทำเป็นอาชีพเสริมก่อน หรือเมื่อชำนาญในการปลูกและขายแล้วก็สามารถทำเป็นธุรกิจครอบครัวได้ ใครสนใจอยากศึกษาหรือลองทำ บางกอกทูเดย์เรามีวิธีการปลูกและคำแนะนำจากเกษตรกรผู้ปลูกพริกไทยขายมาให้ศึกษา…
ปลูกพริกไทยอ่อน นอกฤดู อาชีพเงิน ดูการปลูกพริกไทยขายให้ได้ราคาดีที่ ไร่ดาบบรรพต จังหวัดสุโขทัย โดย ดาบตำรวจบรรพต สิริถาวรวิวัฒน์ เจ้าของไร่ เล่าให้ฟังว่า ในพื้นที่ราบภาคเหนือและภาคอีสาน หลายท่านเข้าใจว่าปลูกพริกไทยได้ยาก จึงได้ทดลองนำพริกไทยมาปลูกลงในกระถาง ในสายพันธุ์ชื่อว่า “พริกไทยซีลอน”
พริกไทยซีลอน มีคุณลักษณะเด่นคือ มีใบและทรงพุ่มใหญ่ ฝักยาว น้ำหนักดี ที่สำคัญเป็นพริกไทยพันธุ์หนัก สามารถเก็บฝักอ่อนจำหน่ายได้เมื่อฝักมีอายุตั้งแต่ 4-6 เดือน ซึ่งถือเป็นข้อดี เพราะสามารถอั้นฝักไปเก็บขายในช่วงเดือนที่พริกไทยมีราคาแพงได้ อีกทั้งพริกไทยสายพันธุ์นี้ไม่ค่อยมีโรครบกวน จะมีปัญหาเดียวในช่วงปลายฝนต้นหนาวคือ ราน้ำค้าง ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการฉีดสารป้องกันเชื้อราทั่วไปก่อนที่จะตัดแต่งกิ่งจากนั้นจึงปลูกลงไร่ ให้ระยะห่าง 2.5 x 2.5 เมตร ให้น้ำโดยใช้ระบบสปริงเกอร์จะดีที่สุด เนื่องจากพริกไทยมีระบบรากตื้นและหยั่งรากหากินแบบแผ่กระจายเป็นวงกลม การให้น้ำแบบสปริงเกอร์จึงช่วยให้พริกไทยได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ โดยทางไร่จะให้น้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเย็น ใช้เวลาให้น้ำประมาณ 15-20 นาที
วิธีปรับปรุงดินให้เหมาะสมสำหรับปลูกพริกไทย
ด้วยการใส่ปุ๋ยคอกที่โคนต้นพริกไทยและใช้ฟางคลุมดินเพื่อให้ดินมีความชื้นสะสมที่นานขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันวัชพืชไม่ให้ขึ้นมาแย่งอาหารพริกไทยด้วย จนกระทั่งพริกไทยมีอายุ 13 เดือน จึงเริ่มแตกตาดอกและให้ผลผลิต แต่จะให้ผลผลิตน้อยเพียงหลักละ 1-2 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น ในปีแรกเราจะยังไม่เน้นให้พริกไทยติดฝัก เพราะทันทีที่พริกไทยแตกตาดอก ติดฝักนั้น พริกไทยจะชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นในปีแรกควรบำรุงต้นดูแลทรงพุ่มให้มีขนาดใหญ่ ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝน โดยให้ปุ๋ยทางใบสูตร 20-7-7 ก่อนเพื่อเป็นการเพิ่มไนโตรเจนสร้างยอดและใบใหม่และอีก 7 วันต่อมาก็ค่อยให้ปุ๋ยทางดินสูตรเสมอเป็นการบำรุงต้นต่อไป  เมื่อต้นพริกไทยอายุครบ 2 ปี จะเริ่มเก็บผลผลิต โดยเริ่มจากเปิดซาแลนคลุมแปลงออกให้หมด เพื่อให้พริกไทยสัมผัสกับแสงแดด 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการเปิดซาแลนนั้นจะเริ่มทำในช่วงต้นฤดูฝน จากนั้นจึงเริ่มจัดการดูแลเช่นเดียวกับในปีแรก คือให้ปุ๋ยสูตรตัวหน้าสูงทางใบ และ 7 วันถัดมาค่อยให้ปุ๋ยสูตรเสมอทางดิน และอีกประมาณ 1 เดือน ถัดมาจึงให้ปุ๋ยสูตรเสมอทางดินอีก 1 ครั้ง
ขั้นตอนและวิธีการขยายพันธ์พริกไทยของไร่ดาบบรรพต
จากประสบการณ์ตรงล้วนๆแบบไม่ปิดบังเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการขยายพันธ์ให้แก่เพื่อนเกษตรกรต่อไป วิธีการขยายพันธ์ที่ทางไร่เลือกใช้คือการปักชำแบบควบแน่นมีวิธีการดังนี้
1.ดินที่เลือกใช้จะเป็นดินดีมีแร่ธาตุอาหารและอินทรีย์วัตถุสูง
2.นำดินใส่ในถุงเพาะชำขนาด2.5×7นิ้วและนำไปวางเรียงกันไว้ในโครงไม้ไผ่ที่จะทำโดมพลาสติกซึ่งเราจะหุ้มปิดในภายหลัง
3.รดน้ำให้ดินชื้นไม่ให้ดินในถุงที่วางเรียงในโดมแห้งเพื่อกระตุ้นให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชทำงานได้ดี
4.ไปตัดไหลยอดที่เลื้อยยาวๆอยู่ในแปลงปลูกพริกไทยมาตัดโดยตัดเป็นท่อนซึ่งท่อนหนึ่งมีความยาวประมาณ3ข้อ
5นำท่อนพันธ์ไปแช่น้ำยาเร่งรากที่ผสมน้ำเจือจางแล้วประมาณ1ชม.
6.นำท่อนพันธ์ไปปักลงในถุงดินที่เตรียมวางไว้แล้วในโดมโดยปักข้อล่างของท่อนพันธ์พริกไทยจำนวน1ข้อลงไปตรงกลางถุง
7.เมื่อปักเสร็จหมดแปลงแล้วก็รดน้ำจนชุ่มทั้งแปลงจากนั้นไปตัดแผ่นพลาสติกใสให้มีขนาดพอที่จะที่ใช้หุ้มโครงไม้ไผ่ได้พอดี
เมื่อตัดได้ขนาดพอดีแล้วก็นำแผ่นพลาสติกใสนั้นมาหุ้มโครงไม้ไผ่ที่เตรียมไว้เพื่อทำโดมพลาสติกครอบต้นพันธ์พริกไทยต่อไป
8.จัดชายพลาสติกที่หุ้มโดมโดยจะต้องปิดให้มิดชิดวิธีการคือใช้จอบถากดินบริเวณรอบๆโดมพริกไทยเพื่อนำมาทับชายพลาสติกไว้ไม่ให้อากาศภายนอกเข้า
9.จากนั้นรออีกประมาณ1เดื่อนครึ่งจึงนำออกจากโดมเพื่อนำไปเลี้ยงต่ออีกประมาณ1เดือนจึงจะสามารถนำลงปลูกในแปลงได้

ปลูกพริกไทยอ่อน
ภาพจาก เพจพริกไทยซีลอน ไร่ดาบบรรพต


พริกไทยซีลอน จะให้ผลผลิตสมบูรณ์ที่สุดก็ต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดยจะให้ผลผลิตประมาณ 10 กิโลกรัมต่อหลักต่อปี
ท่านใดสนใจกิ่งพันธุ์หรือสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกพริกไทยซีลอน สอบถามได้ที่ ไร่ดาบบรรพต  บ้านหนองกระทุ่ม หมู่ 7 ตำบลหนองจิก อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย 64160 ไทยติดต่อ087-3152389 ดาบบรรพตและ086-6862584 คุณต้อย
ขอบคุณ  เพจพริกไทยซีลอน ไร่ดาบบรรพต,เพจ เกษตกรก้าวหน้า

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เลี้ยงลูกฮวกขาย รายได้งาม

การเลี้ยงฮวก หรือ ลูกอ๊อด อนาคตรุ่ง

หมกฮวก ซึ่งถือเป็นเมนูจานเด็ดที่อยู่คู่ชาวอีสานมาช้านาน แม้จะโด่งดังไม่เท่าส้มตำ แต่ชาวอีสานแท้ๆ ก็นิยมบริโภคกันมาก เรียกว่าจะขาดไม่ได้
การที่มีความต้องการบริโภคหมกฮวกกันมาก ลูกกบหรือลูกอ๊อดตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่นำมาทำเป็นหมกฮวกจึงลดน้อยลงและเริ่มขาดแคลน จึงมีเกษตรกรสมองใสคิดเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดหรือลูกกบป้อนตลาดเพื่อไม่ให้ขาดแคลน 
นายวุฒิ ทองดีเกษตรกรหนุ่มวัย 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 315 หมู่ 4 บ้านคำมะดูก ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ได้เล่าถึงความเป็นมาในการเพาะเลี้ยงฮวก (ลูกอ๊อด) ว่าตนได้ทดลองลงมือเพาะเลี้ยงฮวกมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2539 ซึ่งตนมีผืนนาอยู่ประมาณ 4 ไร่เศษ เป็นพื้นที่สูง ทำนาได้ข้าวปีละไม่กี่ถัง ลำพังนำมาเลี้ยงครอบครัวยังไม่เพียงพอ อย่าว่าแต่นำไปขายเลย เปลี่ยนไปทำการเพาะปลูกแตงกวาก็ไม่ประสพผลสำเร็จ จึงได้ทดลองเลี้ยงฮวกขาย โดยการปรับพื้นที่นาผืนเดิมให้เป็นบ่อเพาะเลี้ยง ทำเป็นบ่อคอนกรีต (บ่อปูนซีเมนต์) จำนวน 10 บ่อ บ่อดินสำหรับเลี้ยงฮวก 25 บ่อ การเพาะพันธุ์ และการจำหน่าย
แต่ละบ่อมีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 8 เมตร ลงทุนไปซื้อกบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาจาก จ.สุพรรณบุรี จำนวน 150 ตัวๆ ละ 250 บาท เป็นกบพันธุ์นางนวล ต่อจากนั้นก็มีการขยายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เอง
โดยจะเก็บกบพันธุ์ไว้ปีละ 4,000 ตัว ตัวมีย 2,000 ตัว ตัวผู้ 2,000 ตัว กบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แต่ละรุ่นจะสามารถให้ผลผลิตได้ถึงระยะเวลา 2 ปี ต่อจากนั้นก็จะเปลี่ยนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบรุ่นเดิมก็จะถูกนำไปปล่อยตามท้องไร่ท้องนา จะไม่ขายหรือฆ่า ซึ่งกบแต่ละรุ่นจะให้ลูกฮวกได้นานถึง 8 ครั้ง ในการผสมก็จะใช้วิธีการธรรมชาติ และทางเทคนิค โดยลูกฮวกเกิดใหม่จะพักไว้ในบ่ออนุบาล 7 วัน ต่อจากนั้นก็จะนำลงไปปล่อยเลี้ยงในบ่อดินที่เตรียมไว้ เลี้ยงอยู่ประมาณ 15 วัน ก็สามารถได้ลูกฮวกที่โตได้ขนาดพอขาย ราคาขายส่ง 200 บาท/กิโลกรัม ถ้าเป็นขายปลีกก็ราคา 300 บาท/กิโลกรัม
ในแต่ละบ่อดินที่ทำการเพาะเลี้ยงจะสามารถได้ลูกฮวกประมาณ 70 กิโลกรัม/ 1 บ่อ ถ้ารวมทั้งหมดก็จะประมาณ 1,750 กิโลกรัม/รุ่น ลูกค้าที่มาซื้อก็มีทั้งในและต่างจังหวัด อาทิ กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษฯ โดยเฉพาะที่ จ.กาฬสินธุ์ถือได้ว่าเป็นขาประจำ จะลงมาซื้อครั้งละ 200-300 กิโลกรัม ซึ่งก็จะทำให้มีรายได้เป็นอย่างดี ประกอบกับการเพาะเลี้ยงฮวกจะเป็นการเพาะเลี้ยงนอกฤดูกาล ซึ่งปกติฮวกธรรมชาติทั่วไปจะมีในฤดูฝนเท่านั้น ถ้าคิดต่อรุ่นก็สามารถทำเงินให้ประมาณ 300,000-400,000 บาท
 ในขณะที่เราใช้เวลาเลี้ยงฮวกอยู่ประมาณ 21-25 วัน แต่ก็จะมีข้อจำกัดในการเพาะเลี้ยงอยู่ว่า ต้องเพาะเลี้ยงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กรกฎาคม เท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะเก็บกบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไว้จนถึงฤดูกาลเลี้ยงอีกที ในส่วนของอาหารกบและฮวกเราจะให้หัวอาหารเม็ด 2 เวลา คือ เช้า-เย็น นอกนั้นกบหรือฮวกยังกินดินโคลนหรือแมลงต่างๆ เป็นอาหารอีก ก็นับว่าเพาะเลี้ยงง่ายโตเร็ว ขายก็ง่าย เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภค
ในเรื่องของการตลาดแล้วถือได้ว่ามีความสดใสมาก เพราะลูกฮวก นอกฤดูกาลตามธรรมชาติ ประชาชนจะชื่นชอบมาก จะนำลูกฮวกไปประกอบเป็นอาหารเมนูเด็ดได้หลายอย่าง เช่น หมกฮวก อ่อมฮวก แกงใส่หน่อไม้ดอง โดยเฉพาะชาวอีสานแล้วจะชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะฮวกมีรสชาติอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่สำคัญฮวกจะไม่มีกระดูก ทานก็ง่าย นอกนั้นนักตกปลายังชื่นชอบมาซื้อไปเพื่อเป็นเหยื่อตกปลาอีก เพราะลูกฮวกที่นำไปเป็นเหยื่อตกปลาจะทำให้ได้ปริมาณปลาที่ตกมาก โดยเฉพาะปลาช่อน คุ้มค่าไม่เสียเวลา สำหรับน้ำที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงเราก็จะใช้น้ำประปาบาดาลที่ขุดเจาะขึ้นเอง บางส่วนก็จะใช้น้ำคลองส่งน้ำที่ทางกรมชลประทานส่งปล่อยมาให้
ในเรื่องของปัญหาอุปสรรคก็จะเป็นจำพวกศัตรูของฮวกคือ งูชนิดต่างๆ จะชอบหลบเข้ามากินลูกฮวกในเวลากลางคืน แต่เราก็แก้ไขปัญหาโดยการนำเอาผ้าเขียวพลาสติกมาล้อมกันไว้ไม่ให้งูเข้ามากินได้ นอกนั้นก็ยังมีเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดได้ออกมาเยี่ยมฟาร์มพร้อมกับให้คำแนะนำในด้านวิชาการเพาะเลี้ยงให้อีก ก็นับได้ว่าการเพาะเลี้ยงลูกฮวกขายทำให้ครอบครัวมีรายได้อย่างมั่นคง ดีกว่าการทำนาข้าวหลายเท่า อีกอย่างในเรื่องของราคาซื้อขายก็ตกลงยินยอมซื้อขายกันเองตามท้องตลาดไม่มีการผูกขาดหรือผู้ซื้อกำหนดราคาซื้อผู้ขายกำหนดราคาขาย ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะไม่มีพ่อค้าคนกลางมากำหนดราคาแทน จะราคามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของลูกฮวก เช่นถ้าย่างเข้าฤดูฝนตกชุกฮวกตามธรรมชาติทั่วไปมี ราคาก็จะถูกลง
นายวุฒิ ยังได้เล่าให้ฟังอีกว่า ในขณะนี้ได้ขยายพื้นที่การเพาะเลี้ยงออกไปอีกโดยได้ขอซื้อที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงบ่อเลี้ยงอีกประมาณ 4 ไร่เศษ สร้างบ่อดินเพิ่มเติมอีก นอกนั้นยังได้มีการพัฒนาสายพันธุ์กบ เพื่อที่จะให้ได้ผลผลิตลูกฮวกมากขึ้น ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด และสายพันธุ์ใหม่คือ พันธุ์ ฟรูฟอกซ์ ทั้งนี้เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด และเป็นการพัฒนาอาชีพให้มั่นคงนั่นเองและในช่วงปิดเทอมปีนี้ตนได้มีการจ้างงานเด็กนักเรียนในละแวกบ้านมาช่วยทำงานเพื่อหารายได้อีกด้วย โดยได้ค่าจ้างวันละ 80-100 บาท แล้วแต่งานมากงานน้อย และก็ได้เพิ่มพื้นที่ขึ้นอีกจำนวน 2 ไร่เศษๆ

สำหรับวิธีการเพาะเลี้ยง
1.เตรียมกบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
2.เตรียมบ่อให้สะอาดผ่านการฆ่าเชื้อโรค
3.นำกบมาผสมพันธุ์
4.เพาะเลี้ยงลูกฮวกในบ่ออนุบาล 7 วัน
5.นำลูกฮวกไปเพาะเลี้ยงในบ่อดินที่เตรียมไว้
6.ให้หัวอาหารเม็ดวันละ 2 เวลา (เช้า-เย็น)หลังจากกบออกไข่แล้ว ประมาณ 24 ชั่วโมง ไข่กบก็ฟักออกเป็นตัว เรายังไม่ต้องให้อาหารใดๆ จนผ่านไปถึงวันที่ 3 จึงเริ่มให้อาหาร โดยเริ่มให้ทีละน้อยๆ และหมั่นสังเกตด้วยว่า ลูกกบกินอาหารหมดหรือไม่ หากหมดก็ค่อยๆ เพิ่ม หากไม่หมดก็ลดการให้อาหารลง ระยะอนุบาลลูกกบนี้ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกๆ 3 วัน หรือหากน้ำเริ่มเสียก็เปลี่ยนน้ำเร็วขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึง 3 วัน อาหารลูกกบก็ให้อาหารปลาดุกเล็ก ราคาปัจจุบันกระสอบละ 525 บาท ระดับน้ำในคอกโดยเฉลี่ยประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อลูกอ๊อดอายุครบ 15 วัน ก็จะเริ่มจับจำหน่าย ลูกอ๊อดแต่ละรุ่นในหนึ่งคอกจะอยู่ที่ 80-100 กิโลกรัม ราคาจำหน่ายสูงสุดกิโลกรัมละ 120 บาท ต่ำสุดก็ 80 บาท การจำหน่ายจะมีลูกค้าประจำไปรับที่ฟาร์มและลูกค้าขาจร เคยจำหน่ายได้มากที่สุดวันหนึ่งถึง 700 กิโลกรัม การบรรจุหีบห่อ ใช้ถุงพลาสติคซ้อนสองใบ ใส่ลูกอ๊อดตามขนาดของถุง อัดออกซิเจน ปิดปากถุงด้วยยางรัดให้แน่น ป้องกันการรั่วของอากาศ อายุในการขนส่งอยู่ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง ลูกค้าที่รับไปสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ได้โดยที่ลูกอ๊อดยังไม่ตาย

ท่านที่สนใจการเพาะเลี้ยง หรือต้องการลูกฮวกติดต่อได้ที่ คุณวุฒิ ทองดี บ้านคำมะดูก เลขที่ 315 หมู่ 4 ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ 37000 โทร.0-9864-5564
วิเชียร เกื้อทาน/อำนาจเจริญ

เทคนิคในการทำสาวมะละกอให้ได้ผลผลิตหลายปี


เทคนิคในการทำสาวมะละกอให้ได้ผลผลิตหลายปี

หลายคนยังไม่ทราบว่าในการทำสาวต้นมะละกอมีข้อดีหลายประการ อาทิ ได้ลักษณะและคุณภาพผลเหมือนต้นแม่พันธุ์เดิม ไม่ต้องปลูกมะละกอใหม่ทุกปี ช่วยให้เก็บผลผลิตได้ง่าย เนื่องจากต้นมะละกอจะเตี้ยเหมือนกับเริ่มต้นปลูกใหม่ซึ่งจะส่งผลในเรื่องการจัดการแปลง มีส่วนลดการระบาดของโรคและแมลงได้ เกษตรกรตัดต้นมะละกอทำสาวทุกปีจะตัดวงจรโรคและแมลงได้, ที่สำคัญพบว่าต้นมะละกอที่มีการทำสาวทุกปีจะมีการติดดกเหมือนกับต้นมะละกอปลูกใหม่ซึ่งผิดกับต้นมะละกอที่ไม่เคยทำสาวเลยจะมีการออกดอกและติดผลน้อยลง สำหรับเกษตรกรที่ปลูกมะละกอในเชิงพาณิชย์ จะสามารถกำหนดการให้ผลผลิตด้วยวิธีการทำสาวกำหนดให้ต้นมะละกอมีผลผลิตขายได้ในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งราคามะละกอดิบเพื่อใช้ส้มตำในช่วงเวลาดังกล่าวจะเฉลี่ยสูงถึงกิโลกรัมละ 8-15 บาท

คุณสนอง เศษโม้ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร จากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จ.มหาสารคาม (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) บอกว่าหลังจากที่เกษตรกรได้เก็บผลผลิตมะละกอรุ่นแรกไปแล้ว (คอแรก) ควรจะทำสาวด้วยการตัดต้นมะละกอแล้วเลี้ยงยอดใหม่ ซึ่งหลังจากตัดต้นไปแล้วเพียง 3 เดือน ยอดใหม่ที่แตกออกมาจะเริ่มออกดอกและติดผลตรงตามสายพันธุ์เดิมและเก็บผลมะละกอดิบได้ในเดือนที่ 4 หลังจากตัดต้น เทคนิคในการทำสาวคุณสนองแนะนำให้ตัดต้นมะละกอให้สูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร (เผื่อลำต้นมะละกอจะต้องผุเปื่อยเน่าลงมาอีกประมาณ 1 คืบ)

มีเกษตรกรหลายรายมักจะเข้าใจผิดด้วยการเอาถุงพลาสติกมาครอบต้นส่วนที่ตัดเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นเน่า คุณสนองได้บอกว่าวิธีการนี้ไม่ถูกต้องการเอาถุงพลาสติกมาคลุมรอยแผลที่ตัดจะมีผลทำให้ลำต้นเน่ามากกว่า  เนื่องจากน้ำที่ระเหยจากลำต้นจะไปเกาะติดที่พลาสติกจนขังเต็มอยู่ในลำต้น ไม่มีที่ระบายน้ำออกส่งผลให้ลำต้นเน่าในที่สุด แต่ถ้าปล่อยไว้ตามธรรมชาติถึงแม้จะมีฝนตกจนมีน้ำขัง น้ำจะแห้งหรือระเหยไปเองเพราะแผลจะโดนแดดโดยตรง แต่เกษตรกรจะต้องช่วยเจาะรูให้น้ำมีทางระบายออกจากลำต้นด้วย ในการทำสาวเพื่อจะให้มีการแตกยอดใหม่ที่ดีควรทำในช่วงฤดูฝน หลังจากตัดต้นมะละกอเสร็จแล้ว คุณสนองบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องทายาเชื้อราหรือปูนแดงบริเวณรอยแผล เนื่องจากธรรมชาติส่วนที่เป็นรอยแผลจะผุเปื่อยไปจนถึงบริเวณที่ยอดตาใหม่จะแตกออกมา
หลังจากตัดต้นมะละกอเพื่อทำสาวเสร็จเกษตรกรจะต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 16-16-16 หรือสูตรตัวหน้าสูง เช่น 32-10-10 และใส่ปุ๋ยคอกเก่าร่วมด้วย มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจะมียอดมะละกอแตกออกมาใหม่หลายยอดให้คัดเลือกยอดที่สมบูรณ์ที่สุดเหลือไว้เพียงยอดเดียวเท่านั้นเพื่อไม่ให้ยอดเจริญแข่งกัน เทคนิคในการทำสาวต้นมะละกอของคุณสนอง ทำมาแล้ว 4 ปี ต้นมะละกอติดผลดกมากทุกปี
 วิธีขั้นตอนการทำคร่าวๆ
ตัดต้นมะละกอที่เราจะทำสาว

จากนั้นเอาปูนแดงทางเพื่อป้องกันเชื้อรา
ปล่อยทิ้งไว้ ใส่ปุ๋ยบำรุง ก็จะมีกิ่งมะละกอใหม่ เกิดขึ้นมา ทำให้ลูกดกและต้นเตี้ย อย่างที่เห็น แค่นี้ก็ทำสาวมะละกอได้แล้ว ง่ายใช่ไหมล่ะคับ บ้านใครมีต้นมะละกอก็ลองไปทำดูที่บ้านนะ


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์